7 เคล็ดลับจำเป็นเพื่อเอาชนะการทำงานที่บ้าน
จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาหรือ COVID-19 ที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ทุกสาขาอาชีพต่างก็ต้องรับมือกับเหตุการณ์นี้กันถ้วนหน้า และทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งหนึ่งนั้นคือการทำงานของชาวออฟฟิศที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คำว่า Work From Home หรือ “ทำงานที่บ้าน” กลายเป็นเรื่องที่ต้องนำมาปรับใช้สำหรับคนทำงานในยุคนี้ แต่ปัญหาก็คือ! บรรดาหมอน ผ้าห่ม เตียงนอน ทีวี (และใช่ รวมถึงตู้เย็นด้วย) กลับกลายเป็นมารที่คอยล่อลวงให้คุณเสียสมาธิเมื่อต้องทำงานที่บ้าน วันนี้ CheapTickets.co.th จึงขอนำเคล็ดลับในการเอาชนะสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นกัน
1. ตื่นตัวกับการสื่อสารเสมอ
การทำงานที่บ้านนั้นแตกต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครสามารถโน้มตัวหรือหมุนเก้าอี้มาปรึกษางานกับคุณ หรือจะหันไปตามงานกับใครเหมือนอย่างเคยก็ทำไม่ได้ เราจึงขอแนะนำว่าต้องมีการปรับรูปแบบคุยงานจากเชิงรับเป็นเชิงรุก ด้วยการเสนอความช่วยเหลือ ชี้แนะแนวทาง หรือตั้งข้อซักถาม แล้วเปิดให้มีการสรุปงานกันเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง จะเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนตั้งใจทำงานให้มากขึ้น เช่นในบางองค์กร ที่จากเดิมรองานเสร็จแล้วส่งทีเดียว ก็จะกลายเป็นการรายงานความคืบหน้าและผลการดำเนินการในทุก ๆ วันแทน
นอกจากนี้ คุณต้องมั่นใจว่าการติดต่อสื่อสารในหน่วยงานของคุณนั้นสอดคล้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คุณอาจจะใช้เครื่องมือวางแผนงานตัวใดตัวหนึ่งมาช่วย หรือเพียงใช้อีเมลหรือไลน์ก็อาจจะเพียงพอ ซึ่งขึ้นอยู่กับความสะดวกในการบริหารจัดการของคุณ ทีนี้ ไม่ว่าคุณหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะทำงานที่ไหน อย่างไร หรือจะทำงานตอนไหนของวัน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ขอเพียงสื่อสารกันให้บ่อยครั้ง กำหนดกรอบเวลากันอย่างชัดเจน ประสิทธิภาพของการทำงานที่บ้านก็จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
2. ทำงานตามตาราง (ของคุณเอง)
ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานที่บ้านคือความยืดหยุ่น หากคุณอยากจะพักกลางวันสักหน่อย แค่เดินออกจาโต๊ะทำงานเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงเตียงนอน ความท้าทายของการทำงานที่บ้านจึงเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อตนเอง เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครมานั่งดูว่าคุณทำงานกี่โมงถึงกี่โมง แต่เขาจะดูคุณจากความคืบหน้างานที่ทำได้ ดังนั้นการควบคุมการทำงานของตนเองให้เสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญ แม้การทำงานที่บ้านจะให้อิสระในการทำงานของคุณจากเดิม 8.00 - 17.00 น. ไปเป็น 10.00 - 19.00 น. หรือยืดหยุ่นกว่านั้น หรือทำ 2 ชั่วโมงพัก 1 ชั่วโมงไปเรื่อย ๆ จนครบเวลาทำงานก็ไม่มีใครว่า (ถ้าลักษณะงานของคุณเอื้ออำนวยนะ)
หากเป็นไปได้ ลองจัดตารางงานในแบบของคุณชื่นชอบ เช่น ตื่นมาทำงานในเวลาที่คุณนอนเต็มอิ่มพอดี คุณก็อาจจะพบว่าประสิทธิภาพงานอาจสูงขึ้นจากอิสระที่มีมากกว่าเดิม ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับลักษณะและเงื่อนไขของแต่ละองค์กรด้วย แต่ถ้าคุณยังพ่ายแพ้ต่อความขี้เกียจเพียงเพราะคิดว่าไม่มีใครเห็นอยู่ล่ะก็ สุดท้ายคุณก็จะโดนหัวหน้างานถามหาความคืบหน้างานประจำวันอยู่ดี
3. รับผิดชอบต่องานของคุณ
เมื่อทำงานที่บ้าน จากเดิมที่คุณต้องมาทำงานให้ตรงเวลา ก็จะกลายเป็นต้องทำงานให้เสร็จทันเวลา ซึ่งมีความแตกต่างจากเดิมมาก เพราะในขณะที่การมาทำงานให้ตรงเวลาหมายถึง งานใด ๆ ที่อาจเสร็จไม่ทันนั้นมีความเป็นไปได้ว่าเวลาที่ให้อาจจำกัดจริง ๆ จนทำงานไม่ทัน แต่ถ้าเป็นการทำงานที่บ้าน ข้ออ้างนี้อาจหายไปโดยปริยายสำหรับบางงาน ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อทำงานที่บ้าน เพื่อให้แน่ใจว่างานยังเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพแม้คุณจะมีอิสระทางด้านเวลาในการทำงานแล้ว
นอกจากนี้ การสื่อสารก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณรับผิดชอบงานได้ดีขึ้น เพราะการได้รับทราบความคืบหน้างานจากทุกคนที่เกี่ยวข้อง หรือการรายงานความคืบหน้าให้หัวหน้าทราบ ก็จะช่วยประเมินเนื้องานได้ว่า คุณจำเป็นต้องเพิ่มเวลาทำงานให้เสร็จทันเวลาหรือไม่ หรือต้องขยายเวลาส่งงานออกไป หากไม่มีการสื่อสารกันให้ดี งานที่คุณรับผิดชอบก็อาจจะไม่สำเร็จ และจะกลายเป็นความผิดของคุณเต็ม ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การสันนิฐานว่า คุณกำลังหย่อนยานในช่วงการทำงานที่บ้านนั่นเอง
4. จงอย่าฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากหากจะห้ามความคิดในหัวของใครสักคน แต่คุณต้องจำลองตัวเองเสมือนว่าอยู่ในออฟฟิศตามปกติ และจดจ่อกับงานที่จะทำให้ได้มากที่สุด และนึกภาพว่าที่ออฟฟิศนั้นไม่มีเตียงนอนให้งีบ ไม่มีตู้เย็นให้หาของกินเล่น ไม่มีทีวีให้ดูซีรีย์ (และแน่นอน! ไม่ควรเปิดยูทูปหรือเน็ตฟลิกซ์ตอนพิมพ์รายงาน) แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมมันล่อตาล่อใจให้คุณหลุดออกจากงานนัก เราขอแนะนำให้คุณตั้ง “รางวัล” ให้ตนเอง เมื่อความคืบหน้างานประจำวันไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็มอบของรางวัลให้ตนเองเป็นขนมขบเคี้ยว หรือเวลาพักในช่วงสั้น ๆ เพราะการทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึงคุณต้องต่อสู้กับสิ่งรบเร้ารอบตัวอย่างหนักยิ่งกว่าการทำงานในออฟฟิศเสียอีก
แต่เมื่อไรที่สมองของคุณเหนื่อยล้าหรือคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ นั่นก็หมายถึงเวลาที่คุณควรพัก อาจจะด้วยการนอนกลางวันสักหน่อย หรือหากิจกรรมเบาสมองอย่างอื่นทำ แต่อย่าลืมชดเชยเวลาที่สูญเสียไปเหล่านั้นด้วยการทดเวลาทำงานของตนเอง แม้จะต้องพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่นใดในระหว่างวัน จงอย่าลืมความรับผิดชอบต่องานของตนเองเป็นอันขาด
5. ดื่มน้ำบ่อย ๆ จะดีต่อตัวคุณ
การทำงานที่บ้านอันแสนเงียบสงบนั้นอาจทำให้คุณทำงานได้อย่างลื่นไหลเสียจนลืมเวลาและละเลยน้ำดื่มสักแก้วไปอย่างง่ายดาย เราขอแนะนำให้คุณทำสิ่งที่คล้ายกับกับชาวออฟฟิศส่วนใหญ่ทำ นั่นก็คือการกดน้ำใส่แก้วน้ำพกพาแก้วโต ๆ หรือขวดน้ำดื่มมาวางไว้ใกล้มือ (ชาหรือกาแฟก็แล้วแต่ชอบ แต่ไม่แนะนำชานมไข่มุก) และจิบมันให้บ่อยครั้งเมื่อพักมือจากคีย์บอร์ด เพราะถ้าหากร่างกายของคุณเริ่มขาดน้ำเมื่อไร สมาธิและความละเอียดของคุณก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย และการเดินไปที่ครัวเพื่อดื่มน้ำทุกรอบ นั่นก็หมายถึงการสูญเสียสมาธิต่องาน และอาจถูกบางสิ่งที่อยู่ในตู้เย็นล่อลวงแทน
ในกรณีที่คุณไม่สนใจดื่มน้ำเลย และทำงานอยู่คนเดียวในห้องแอร์แคบ ๆ คุณอาจไม่รู้สึกตัวว่าความชื้นในอากาศขณะเปิดแอร์จะมีน้อยมาก (ประมาณ 35-40% จากปกติ 60-65%) และเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณผิวแห้งและปากแตก เมื่อปากเริ่มลอก คุณก็อาจกัดมันอย่างเมามันโดยไม่รู้ตัวระหว่างทำงานจนปากเป็นแผล ดังนั้นการดื่มน้ำบ่อย ๆ ไม่ได้ช่วยแค่ในแง่ของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยรักษาสุขภาพของคุณได้อีกด้วย
6. ยืดเส้นยืดสายในระหว่างวัน
ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศหรือทำงานที่บ้าน การนั่งทำงานตลอดทั้งวันนั้นไม่ดีต่อแผ่นหลังและการไหลเวียนของเลือด และยิ่งการทำงานที่บ้านที่เก้าอี้ทำงานอาจหมายถึงโซฟา เตียงนอน หรือพื้นห้อง ส่วนโต๊ะทำงานก็อาจมาจากโต๊ะกินข้าวหรือโต๊ะญี่ปุ่น การยืดเส้นยืดสายในระหว่างการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และควรทำให้ได้ 2 เท่าจากปกติที่นั่งทำงานในออฟฟิศ เพราะคุณจะไม่มีโอกาสเดินไปหาเครื่องถ่ายเอกสาร ขึ้นลงบันได หรือเดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน การทำงานที่บ้านจึงทำให้คุณนั่งขลุกอยู่กับที่นานหลายชั่วโมงกว่าที่ออฟฟิศ
ในการยืดเส้นยืดสาย เราขอแนะนำให้คุณตั้งปลุกหรือเตือนบนโทรศัพท์ทุก 1-2 ชั่วโมง หรือใช้ประโยชน์จากสมาร์ทวอชที่มักจะมีการเตือนให้ลุกขึ้นหรือเดินเป็นประจำ และแบ่งเวลาสำหรับการออกกำลังกายให้มากขึ้นเมื่อทำงานที่บ้าน เนื่องจากคุณไม่มีโอกาสได้เดินหลายก้าวอย่างการทำงานที่ออฟฟิศ โดยจะลองสควอช ซิดอัพ หรือวิ่งเยาะรอบบ้านสัก 15-30 นาทีหลังเลิกงานก็ได้ (นินเทนโดริงฟิตส์เราก็อยากแนะนำ แต่ช่วงนี้ราคาแพงไปหน่อย)
7. รับประทานอาหารที่ดีแต่พอดี
ศัตรูของการทำงานที่บ้านสำหรับบางคนคือเตียงนอน แต่สำหรับบางคนคือตู้เย็น เสบียงที่กะจะตุนไว้กินในช่วงกักตัวอาจหมดลงอย่างรวดเร็วเมื่อทำงานที่บ้าน ตู้เย็นที่เต็มไปด้วยสารพัดของกินทั้งของสำเร็จรูปและของสดอาจทำให้คุณตามใจปากจนน้ำหนักขึ้นกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ และที่สำคัญ อาจทำให้คุณเสียเวลาทำงานเพื่อมาหาอะไรกินในตู้เย็นมากกว่าเดิม! และสำหรับบางคนกลับชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประหว่างทำงาน ยิ่งได้ทำงานที่บ้าน ก็ยิ่งได้โอกาสที่จะนั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นทางเลือกที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณโซเดียม ผงชูรส และสารอาหารที่มีแต่แป้งที่ย่อยยาก บอกเลยว่ากินเข้าไปแล้วมีโอกาสจะทำให้คุณคิดอะไรไม่ออกยิ่งกว่าตอนหิวเสียอีก
การรับประทานอาหารในระหว่างทำงานที่บ้านอย่างถูกต้องจะช่วยกระตุ้นสมาธิและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณพร้อมทำงานได้ตลอดวัน โปรดกินอย่างแน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนในแต่ละมื้อ ทั้งวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์ตามปริมาณที่แนะนำต่อวัน และรับประทานอาหารให้พอดี การกินอะไรมากไปแล้วกลับมาทำงาน เพราะส่วนใหญ่มักจะไม่ได้งาน แต่มักจะไปจบลงที่ห้องน้ำหรือไม่ก็เตียงนอน!
ซื้อตั๋วเครื่องบินเตรียมตัวเที่ยวหลังไวรัส
และทั้งหมดนี้ก็คือเคล็ดลับที่ไม่ลับสำหรับการเอาชนะการทำงานที่บ้านให้มีประสิทธิภาพเหมือนที่เคยทำงานในออฟฟิศ ซึ่งบางคนอาจจะชอบหรือบางคนอาจจะไม่ชอบการทำงานแบบนี้ แต่การทำงานที่บ้านคือส่วนสำคัญที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้ และ CheapTickets.co.th ก็ขอให้ทุกคนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี