สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ:

ฮาลล์ชตัทท์ไม่ได้เป็นเพียงเมืองเล็กสวยน่ารัก ทว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตเหมืองหินเกลือเก่า ซึ่งมีค่าสูงเปรียบดั่งทองคำตั้งแต่ยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาล ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในฐานะเหมืองเกลือธรรมชาติที่ได้รับการบุกเบิกด้วยมนุษย์ เมืองนี้ , และพิพิธภัณฑ์แห่ง

เหมืองเกลือซาลส์คามเมอร์กุต (Salzkammerkut)

ฮาลชตัทท์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเหมืองเกลือโบราณอายุเป็นหลายพันปี พร้อมกับเป็นแหล่งสร้างมูลค่าความมั่งคั่งให้แก่พ่อค้าผู้แสวงหาทั้งหลาย คำกล่าวนี้อาจไม่เกินจริงไปนัก เมื่อบอกว่าที่นี่คือเหมือง ‘ทองคำขาว’ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกขึ้นกระเช้าสู่ยอกเนินซึ่งเป็นทางเข้าเหมือง แล้วไต่ตามบันไดไม้ที่ขุดสร้างด้วยมือเมื่อสามพันปีที่แล้ว ลงไปในเหมือง ให้ได้ชมชีวิตชาวเหมืองในสมัยบุกเบิก พร้อมการฉายภาพกราฟฟิคและวีดีทัศน์บนเขตวัตถุโบราณเหล่านี้ และที่ไม่ควรพลาด คือ การได้ชมวิวจาก Skywalk มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองฮาลชตัทท์แบบพานอรามา นอกจากความรู้ และโอกาสล่องเรือในทะเลสาปเหมืองเกลือแล้ว ยังไม่ควรพลาดโอกาสไถลสไลด์บราณความยาวกว่า 64 ม. ทางลัดของชาวเหมืองเก่า ควรมีเวลาสักครึ่งวันเป็นอย่างน้อยสำหรับการเยี่ยมชม

ชมบรรยากาศภายในตัวเมืองฮาลชตัทท์

แม้ว่าคนที่นิยมเมืองใหญ่แสนทันสมัย หากได้มาเยือนที่ฮาลล์ชตัทท์ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหลงเสน่ห์ความอบอุ่น สงบเงียบของเมืองนี้ มนต์ขลังของฮาลชตัทท์ไม่ได้มีแค่ความเก่าและความคลาสสิคของอาคารบ้านเรือน ร้านอาหาร บาร์และผับในแบบดั้งเดิมที่เป็นเพียงที่สังสรรค์พบปะ ธรรมชาติของขุนเขาและสายน้ำจะเหมือนช่วยโอบอุ้มจิตใจให้เป็นอิสระและล้างพิษความคิดความอึดอัดของคนเมืองให้กลับมามีพลังได้อีกครั้่้งหนึ่ง สำหรับคนที่มีเวลาและมีกำลังกายพอ ใช้เวลาค่อย ๆ เดินลัดเลาะชมเล่น จนกระทั่งเดินข้ามเนินทุ่งหญ้ากว้างเพียวเพื่อไปนั่งดื่มกาแฟหรือเบียร์แบบสโลว์ไลฟ์ จะได้เพลิดเพลินกับคีย์ชีวิตที่ละมุนละเอียดที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่กว่า

ล่องเรือในทะเลสาปฮาลชตัทท์

คุณสามารถเลือกที่จะเช่าเรือยนต์ไฟฟ้า หรือเรือแคนู , เรือคายัค แม้กระทั่งเรือทรงหงษ์ขาว เพื่อจะได้สัมผัสทะเลสาปฮาลชตัทท์ได้อย่างใกล้ชิด เรือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเรือเช่าเหมา จึงไม่มีตารางเวลาตายตัว เป็นการให้บริการเพื่อความเพลิดเพลินโดยเฉพาะ ทว่าจะงดให้บริการในฤดูหนาว

โบสถ์คาทอลิคเมืองฮาลชตัทท์

โบสถ์หลังเล็กที่โดดเด่นกลางเมืองฮาลชตัทท์ สร้างมาตั้งแต่ปึค.ศ. 1181 แม้จะมีความยากลำบากด้วยลักษณภูมิประเทศที่เป็นลาดไหล่เขาสูงชัน ต้องมีการปรับแต่งกันเรื่อยมา เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์และเป็นร่มใจให้แก่ชาวเหมืองเกลือผู้อยู่อาศัยทำงานและพ่อค้าเกลือจากเมืองซาล์สบวร์ก ภายในเป็นการก่อสร้างตกแต่งแบบโกธิคเห็นได้จากหน้าต่างทรงแคบสูงแหลม ไม่ควรพลาดที่จะชมภาพไม้แกะสลักแท่นบูชารูปพระแม่และพระบุตร ลานหินด้านข้างโบสถ์เป็นสุสาน ซึ่งตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงามน่ารักจนมีชื่อเสียงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากมาย ที่ฝังศพของแต่ละแปลงจะแน่ขนัดไปด้วยดอกไม้นานาชนิดปลูกไว้ และถือเป็นหน้าที่และหน้าตาของครอบครัวในการดูแลแต่ละแปลงให้สวยสดงดงามเสมอ

บ้านกระดูก (Bone House หรือ Beinhaus)

เนื่องจากเมืองฮาลชตัทท์เป็นเมืองเล็กที่มีพื้นที่จำกัดมาก สถานที่ที่ใช้เป็นสุสานจึงมีกฎว่าให้ฝังได้ไม่เกิน 10-15 ปี หลังจากนั้นจะทำการย้ายกระดูกมาเก็บ ณ โรงเก็บกระดูกของโบสถ์นักบุญไมเคิลแห่งนี้ ที่ได้รับความสนใจมากมายเพราะประเพณีการตกแต่งกะโหลกด้วยการลงลวดลายงดงามต่าง ๆ อาทิ ลายดอกไม้ ลงบนกะโหลก จนกลายเป็นจุดน่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับผู้มาเยือนเพื่อมาชมคอลเล็กชั่นงานตกแต่งบนกระดูกศีรษะกว่า 600 ชิ้น ส่วนใหญ่จะเป็นผลงานจากยุคศตวรรษที่ 18-19 สำหรับกระดูกใหม่จะน้อย เนื่องจากเป็นยุคที่มีการยอมรับการเผาศพแล้ว กะโหลกชิ้นสุดท้ายคือของปี 1995