สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและกิจกรรมในบาร์เซโลนา:

แต่เดิมนั้นผู้มาเยือนบาร์เซโลน่า มาจากทั้งแดนใกล้และแดนไกลมากมายอยู่แล้ว ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นศูนย์การเดินทางทั้งทางจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ จากทางฝรั่งเศสตอนใต้ การจะได้มาสัมผัสสถานทีพักผ่อนที่มีอุณหภูมิสบายริมชายหาด ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป มีทิวเขาลดหลั่นเหมาะแก่การเป็นสถานตากอากาศที่สมบูรณ์แบบ อาจด้วยเหตุนี้ เมืองนี้ได้ดึงดูดเหล่านักสร้างสรรค์ในแขนงต่าง ๆ พากันมาปักหลักฐานสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกที่นี่ ในจำนวนศิลปินเหล่านี้ ผู้เป็นที่รู้จักกันดีจะได้แก่ สถาปนิกเจ้าของผลงานโบสถ์ยักษ์ซากราด้า และยังเป็นผู้ออกแบบสร้างสวนเกวลล์ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วย และกลายเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือน’ต้อง’พาตัวเองไปชม สิ่งหนึ่งที่ทุกจุดไฮไลท์ของบาห์เซโลน่ามีเหมือนกันคือ ความโดดเด่นสะดุดตา ที่ทำให้ทุกคนต้องร้อง ‘ว้าว!’

โบสถ์ยักษ์ซากราดา

(La Sagrada Familia) ตื่นตะลึงไปกับความอลังการงดงามของสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของเกาดี้ สถาปนิกผู้สร้างผลงานไว้นับไม่ถ้วนในเมืองบาร์เซโลนานี้ โบสถ์คาทอลิกยักษ์แห่งนี้อาจถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดและเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา ในตอนที่เกาดี้เสียชีวิต โบสถ์แห่งนี้สร้างไปได้เพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น แม้ทุกวันนี้ การก่อสร้างก็ยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ สลับกับการดูแลบำรุงรักษา หลายคนอาจพอใจเพียงแค่การได้ถ่ายรูปหน้าโบสถ์ที่ดูโอ่อ่าอลังการ ทว่าหากได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในแล้ว ทุกรายละเอียดจะสร้างความตื่นตะลึงจนลืมความพอใจของการชมเพียงภายนอกไปเลย

พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ่

สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับวงการศิลปะมากนัก พาโบล ปิกัสโซ่ (Pablo Picasso) เป็นหนึ่งในศิลปินชั้นเอกของยุคศตวรรษที่19-20 เขาเป็นคนสำคัญผู้บุกเบิกงานศิลปะสมัยใหม่ของยุค งานของเขาหลายชิ้นจัดว่าเป็นงานประมูลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ไปถึงมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แสดงผลงานในช่วงครึ่งแรกของชีวิตขณะที่ปิกัสโซ่ได้รับการศึกษาศิลปะขณะวัยรุ่นและช่วงที่เขายังคงเป็นช่างศิลป์ฝึกหัดภายใต้การนำของบิดาซึ่งเป็นครูสอนศิลปะ แม้จะไม่ได้จัดแสดงผลงานที่โด่งดัง แต่สำหรับแฟนปิกัสโซ่พันธุ์แท้ ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในเมกกะที่ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือน

สวนเกวลล์

(Park Güell) อีกหนึ่งผลงานของเกาดี้ เสมือนของขวัญแก่เมืองบาร์เซโลน่า สวนสาธารณะแห่งนี้ถูกตั้งชื่อตามผู้สนับสนุนและเป็นผู้ออกทุนใหญ่ในการสร้าง คือ ท่านเคานท์อูเซบี้ เกวลล์ (Eusebi Güell) ซึ่งแต่แรกนั้นริเริ่มให้เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ท่านเคาน์เป็นผู้เจาะจงให้เกาดี้เป็นผู้ออกแบบ สถานที่แห่งนี้สะท้อนความเป็นผู้นิยมธรรมชาติอย่างยิ่งยวดของเกาดี้ ท้ายที่สุด มีบ้านเพียงสองหลังที่สร้าง คือของท่านเคานท์เอง และของเกาดี้ ซึ่งปัจจุบันได้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเกาดี้ สวนแห่งนี้มีความโดดเด่นตั้งแต่ทางเข้ากันเลยทีเดียว รูปทรงและการประดับที่ใช้ลักษณะของงานโมเสค (ศิลปะการแต่งต่อภาพด้วยชิ้นส่วนเล็ก ๆ เข้าด้วยกัน) หลังคาไปจนถึงเสาคาน ล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่หาดูไม่ได้จากงานอื่นใด

คาซ่า บาทท์โล

(Casa Batllo house) หลายคนเมื่อได้เห็นเพียงภายนอกของอาคารนี้ ก็ยกย่องให้เป็นหนึ่งในตึกที่สวยที่สุดทันที อีกหนึ่งผลงานชั้นเยี่ยมของเกาดี้ ต่างกันกับสวนเกวลล์ที่แรงบันดาลใจ อาคารแห่งนี้ถูกสร้างด้วยแรงบันดาลใจจากความงามของท้องทะเล สีสรรต่าง ๆ ล้วนสะท้อนให้นึกถึงความงามของเหล่าปะการังในทะเลสีฟ้าสด ตั้งแต่เฉดสีฟ้าคราม ฟ้าเทอร์ควอยซ์ ไปจนกระทั่งสีแดงอมส้ม ทว่าแสงไฟในตอนกลางคืนกลับสะท้อนออกเป็นสีเฉดชมพู ชื่อของอาคารแปลได้ตรงตัวว่า “บ้านของบาทท์โล” ซึ่งตระกูลบาทท์โล คือเจ้าของคนแรกผู้อาศัยอยู๋ ณ ตึกนี้ ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมได้ ในปี 2005 อาคารนี้ได้ถูกบรรจุไว้ในรายการมรดกโลกของยูเนสโกในฐานะเป็น “งานของแอนโธนี่ เกาดี้”

สนามกีฬาแคมป์นู

สนามกีฬาแคมป์นู (Camp Nou stadium) สเปนเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกที่มีชื่อเสียงเรื่องกีฬาฟุตบอล โดยเฉพาะทีมฟุตบอลเอฟ.ซี.บาร์เซโลน่า (FC Barcelona) ดังนั้น สนามกีฬาในบ้านจึงกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของแฟนกีฬาหน้าแข้งทั้งหลาย ด้วยความจุผู้ชมที่มากถึงเกือบหนึ่งแสนคน ทำให้สนามกีฬาแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป และเป็นที่สามของโลกสำหรับสนามกีฬาฟุตบอล สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการนำชมสนามกีฬาพร้อมไกด์เฉพาะ ซึ่งนอกจากจะพาชมสนามกีฬา ก็จะพาชมทั้งหอเกียรติยศ, ถ้วยรางวัลต่าง ๆ , แม้กระทั่งพาเข้าไปถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและทางเดินเข้าสู่ตัวสนามสำหรับเหล่านักกีฬาโดยเฉพาะ

ถนนลารัมบลาส

(La Rambla) เป็นถนนสายช็อปปิ้งและร้านอาหารชื่อดังซึ่งมากระจุกรวมตัวกันอยู่บนถนนเส้นนี้ ที่มีความยาวเพียงไม่ถึงสองก.ม. ดี สองข้างทางงดงามไปด้วยซุ้มขายดอกไม้, คาเฟ่เก๋ไก๋, และร้านค้าชื่อดังมากมาย เป็นสถานที่สุดนิยมในหมู่ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองบาร์เซโลน่าเอง ถนนเส้นนี้ยังเป็นศูนย์รวมความมีขีวิตชีวาของเมือง เห็นได้ตั้งแต่การแสดงโชว์เปิดหมวกริมถนน, นั่งอ่านลายมือริมทาง, ซื้อของที่ระลึก, หรือให้ศิลปินวาดรูปของคุณ จากถนนเส้นนี้คุณจะสามารถไปตลาดนัดบูเคอเรีย (La Bouqueria Market) เพื่อลิ้มรสอาหารสดและรสชาติท้องถิ่นแท้ ๆ ของเมืองนี้ มีกวีชาวสเปนท่านหนึ่งกล่าวชื่นชมถนนสายนี้ไว้ว่า “เป็นถนนที่ฉันไม่อยากให้มีจุดสิ้นสุดเลย”

เขามองท์จูว์

(Montjuic) เนินเขาในเขตเมืองบาร์เซโลน่าแห่งนี้ เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง เนื่องจากบนจุดสูงสุดของยอดเขานี้อยู่ติดทะเล มีป้อมปราการที่เป็นปราสาทเก่า สามารถมองเห็นท่าเรือบาห์เซโลนาห์ได้ชัดเจน ชื่อของภูเขาแปลได้ตรงตัวว่า เป็นภูเขาของชาวยิว (Jew Mountain) แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานของชาวยิวเคยมีถิ่นพำนักอาศัยในแถบนี้ แต่เป็นที่รู้กันว่า เขามองท์จูว์เป็นสถานที่หย่อนใจแบบแทรกซึมบรรยากาศของวัฒนธรรมสเปนด้วย มีจุดที่น่าสนใจหลายแห่งตั้งแต่ กระเช้าชึ้นยอดเขาชมเมือง, น้ำพุวิเศษ (Magical Fountain) , และหมู่บ้านสเปน (Spanish Village) ซึ่งเป็นการจำลองบ้านของแคว้นทั่วสเปนร้อยกว่าแบบมารวมไว้ที่หมู่บ้านจำลองแห่งนี้ เป็นสถานนิยมในการจัดมื้อเย็นพิเศษแบบท้องถิ่นสเปนพร้อมชมโชว์ระลำฟลามิงโกที่เลื่องชื่อ

เขามองค์เซอร์ราท

60 ก.ม. ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากตัวเมืองบาร์เซโลน่า คือที่ตั้งของหุบเขามองค์เซอร์ราท ชื่อของภูเขาแปลได้ว่า “ภูเขาฟันเลื่อย” อาจเพราะรูปทรงของยอดเขาที่ดูราวกับแหว่งเว้าขึ้นลงเหมือนฟันปลา ที่หุบเขานี้แต่เดิมนอกเหนือจากการได้เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของสเปนแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักจารึกแสวงบุญเพื่อจะมาชื่นชมบูชารูปปั้นศักดิ์สิทธิ์มาดอนน่าองค์ดำ (Black Madonna) ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่จะมีการสร้างสำนักสงฆ์ที่นี่ รูปปั้นนี้ไม่ยอมขยับเขยื้อน จึงจำเป็นต้องสร้างสำนักสงฆ์ครอบในบริเวณที่มีรูปปั้นนี้ตั้งอยู่ มาดอนน่าองค์ดำถือเป็นนักบุญประจำแคว้นคาตาโลเนียนี้ด้วย แม้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ความงามของหุบเขาและอารามสงฆ์ถือเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งแล้ว สามารถลองขึ้นรถรางไต่เขาสองเส้นที่ความลาดชันอยู่ที่ 56.5 องศา และ 65.2 องศา ขึ้นกับว่าคุณจะใจถึงแค่ไหน